Saturday, July 12, 2014

น้ำมะเขือเทศ เพื่อผิวสวย

น้ำมะเขือเทศ เพื่อผิวสวย

  • เลือกมะเขือเทศลูกสีแดง ขั้วสีเขียวสด ขั้วไม่เหี่ยว ลูกไม่นิ่ม ไม่ช้ำ นำมะเขือเทศมาล้างให้สะอาด
  • ต้มน้ำเปล่าให้เดือด นำมะเขือเทศลงลวกประมาณ 1 นาที
  • พักมะเขือเทศที่ลวกแล้วจนหายร้อน (ไม่จำเป็นต้องแช่น้ำเย็น) แล้ว ลอกเปลือกออก 
  • ผ่าครึ่งลูก และผ่าแกนกล่างสีขาวออก ตรวจดูเนื้อมะเขือเทศข้างใน ถ้าเน่าเสีย ก็ทิ้งไป 
  • นำมะเขือเทศที่ผ่าแล้วลงในโถปั่นจนเต็ม ใส่เกลือประมาณ 2 ช้อนชา แล้วปั่นประมาณ 2 นาที


เครดิต:

  • http://xn--22c6b2a4axq4czdd.blogspot.com/2013/05/blog-post_6378.html
  • Link


Friday, July 11, 2014

การกินกล้วยมื้อเช้ากับน้ำเปล่า

วิธีหนึ่งที่น่าสนใจ และกำลังเป็นที่นิยมในประเทศญี่ปุ่นก็คือ การกินกล้วยมื้อเช้า กล้วยนับเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์ ที่สมบูรณ์แบบที่สุดชนิดหนึ่ง
  • วิตามินบี 1 และบี 2 ช่วยในการเร่งเผาผลาญน้ำตาลและไขมัน
  • ช่วยฟื้นฟูร่างกายการจากเหนื่อยล้า
  • โปแตสเซียม ช่วยในการขับโซเดียม อันเป็นหนึ่งในตัวการที่จะทำให้ความดันเลือดสูง ออกทางปัสสาวะ และส่งผลให้ลดการบวมของร่างกายได้
  • แมกนีเซียม ช่วยควบคุมความดันเลือด และการทำงานของแคลเซียมในร่างกาย
  • เส้นใยในกล้วย ช่วยให้ระบบการขับถ่ายในแต่ละวันของร่างกายเราดีขึ้น
  • เซโรเทนิน ช่วยลดอาการหงุดหงิด และทำให้นอนหลับสบาย
  • ไฟโตเคมิคัล ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่ ป้องกันมะเร็ง
  • เอนไซม์ ช่วยในการย่อยอาหาร ทำให้กระเพาะอาหารและลำไส้ทำงานหนักลดลง
  • กล้วยดิบ มีฤทธิ์ในการขับพิษสูง
  • กล้วยสุก ทำให้ร่างกายสร้างสารภูมิคุ้มกันให้สูงขึ้นกว่าปกติ
การกินกล้วยมื้อเช้ากับน้ำเปล่า

  • ควรนอนก่อนเที่ยงคืน และถ้าเกิดหิวขึ้นกลางดึกก็ควรจะกินผลไม้เท่านั้น
  • เพื่อจำกัดการทำงานของกระเพาะและลำไส้ให้น้อยที่สุด และจะทำให้ร่างกายได้รับการฟื้นฟูสภาพอย่างเต็มที่
  • ทำให้ร่างกายได้รับปริมาณน้ำที่พอดี การไหลเวียนของของเหลวในร่างกายก็จะดีขึ้น
  • กล้วยเป็นผลไม้ที่มีเอนไซม์เยอะ ทำให้เมื่อกล้วยเคลื่อนที่เข้าไปสู่กระเพาะ การย่อยก็ไม่จำเป็น จึงเคลื่อนที่สู่ลำไส้ และเริ่มดูดซึมไปใช้กับร่างกายได้อย่างรวดเร็ว
  • ช่วยทำให้อาการท้องผูกหายไป และส่งผลให้อุจจาระที่ตกค้างอยู่ในร่างกายค่อยๆ ลดลง 

เครดิต:

  • Smart SME


Saturday, May 31, 2014

อาหารเสริมผิวขาว ผิวใส ผิวสวย

นม นมถั่วเหลือง โยเกิร์ต

  • อาหารที่เต็มไปด้วยกรดที่ช่วยในการผลัดเซลล์ผิว ไขมันน้อย จึงทำให้นม นมถั่วเหลือง รวมถึงโยเกิร์ตรสธรรมชาติ อาหารบำรุงผิวสวยจากธรรมชาติที่ช่วยเสกให้ผิวของคุณดูกระจ่างใสขึ้นได้

ปลาทะเลน้ำลึก

  • เนื้อปลาอุดมด้วยโปรตีน ไขมัน และกรดอะมิโนจำเป็น ที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อในร่างกาย ช่วยบำรุงผิวให้ดูสวยสดใสเปล่งปลั่งได้

สารพัดผักผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามิน

  • แอปเปิล ไม่ว่าจะผลสีแดง หรือผลสีเขียว ก็นับเป็นผลไม้มหัศจรรรย์ที่ช่วยบำรุงได้อย่างแท้จริง เนื่องจากมีสารแอนติออกซิแดนต์มากที่สุด และยังมีสารอีลาสตินและคอลลาเจนที่ทำให้ผิวเต่งตึงขาวใส
  • มะเขือเทศ มีทั้งวิตามินซีและวิตามินเอสูง ที่มีคุณสมบัติช่วยสร้างสมดุลให้กับผิว นอกจากนี้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยแก้ปัญหาผิวและทำให้ผิวกระจ่างใสได้อีกด้วย
  • ฝรั่ง อุดมไปด้วยวิตามินเอ ซี และโพแทสเซียม อันมีส่วนสำคัญในการขับของเสียออกจากร่างกายและบำรุงผิวให้สวยมีสุขภาพดี
  • ส้ม เพราะในส้ม 1 ลูกนั้นมีสารต้านอนุมูลอิสระ คอลลาเจน และวิตามินซี สารอาหารหลักที่จะช่วยเสริมผิวสวยกระจ่างใส เติมความชุ่มชื่นให้ผิวของคุณดูอ่อนเยาว์สดใสอยู่เสมอ
  • บรอกโคลี มีคุณค่าทางอาหารสูง ทั้งสารเบตา-แคโรทีน เส้นใยอาหาร วิตามินซี และสารต่างๆ อีกหลายชนิด
  • ผลไม้ตระกูลเบอร์รี ได้แก่ สตรอว์เบอร์รี บลูเบอร์รี เชอร์รี หากกินสด ๆ เป็นประจำ จะช่วยทำให้ผิวพรรณของคุณเรียบเนียนและดูใสขึ้น เนื่องจากวิตามินซีที่อยู่ในผลเบอร์รี่นั้น จะช่วยบำรุงเซลล์เม็ดเลือดแดง

ธัญพืชและถั่วต่างๆ

  • ไม่ว่าจะเป็นข้าวโอ๊ต ข้าวสาลี งาขาว ขาดำ ลูกเดือย และถั่วต่างๆ ธัญพืชเหล่านี้ นอกจากจะให้กินได้บ่อยแบบไม่ต้องกลัวอ้วนแล้ว ยังให้สารอาหารครบถ้วน โดยเฉพาะวิตามิน และไฟเบอร์ที่ช่วยขับของเสียตกค้างในร่างกาย ช่วยให้ผิวขาวสว่างใสผิวสวย

น้ำผัก-ผลไม้สด

  • เลือกดื่มน้ำผักหรือน้ำผลไม้สดเป็นประจำ อันได้แก่ น้ำมะพร้าว น้ำส้มคั้นสด น้ำผักปั่น น้ำมะเขือเทศ น้ำแครอท อาจนำไปแช่เย็นเพื่อเพิ่มความสดชื่น จากนั้นจึงนำไปปั่นกับน้ำเปล่าเล็กน้อย แล้วดื่มให้หมดแก้วทันที สูตรนี้ขอบอกเลยว่าทำเป็นประจำทุกเช้าจะช่วยดีท็อกซ์ของเสีย ปรับสภาพผิวของคุณให้สวยผ่องใส

เครดิต:
  • http://women.kapook.com/view88644.html

Saturday, April 19, 2014

วิธีย้อมผมด้วยเฮนน่า

เฮนน่า
ไม้พุ่มใบเขียว ดอกสีขาวกลิ่นหอม เป็นพืชตระกูลลีทราซี (Lythraceae) หรือตระกูล "เทียน" มีชื่อทางพฤกษศาตร์ว่า Lawsonia inermsi มีชื่อแบบไทยๆ หลายชื่อ เช่น เทียนขาว เทียนต้น เทียนกิ่ง เทียนไม้ เทียนย้อม เป็นต้น เฮนน่าพบได้โดยทั่วไปทั้งในอินเดีย เนปาล อราเบีย มอร็อคโค มอริทาเนีย มาลี เซเนกัล ซูดาน อิหร่าน ปากีสถาน มาดากัสการ์ ออสเตรเลีย และอเมริกา

พืชสมุนไพร ส่วนที่ใช้ คือ ใบ กิ่ง และก้าน ใช้เป็นสีย้อมผมแบบกึ่งถาวร ให้สีน้ำตาลเข้มออกแดง

การย้อมผมด้วยเฮนน่า
หากคุณมีผมหงอก หรืออยากจะเปลี่ยนโทนสีผมอยากจะแนะนำให้ใช้วิธีธรรมชาติ คือ การใช้เฮนน่า หรือที่ไทยเราเรียกว่า เทียนขาวหรือเทียนย้อม โดยอินเดียเป็นแหล่งใหญ่ที่ปลูก ในไทยเราก็เอามาจากอินเดียทั้งหมด

การใช้เฮนน่าย้อมผม สีของเฮนน่าจะเคลือบชั้นนอกสุดของเส้นผม ดังนั้นนอกจากเฮนน่าจะเปลี่ยนสีผมแล้ว มันยังช่วยปกป้องเส้นผมจากแสงแดด และฝุ่นผงในอากาศได้ เฮนน่าที่เคลือบอยู่บนเส้นผมจะทำให้ผมเป็นสีน้ำตาลแดง เป็นเงางาม มีน้ำหนัก สปริงตัวได้ดีเป็นธรรมชาติ และแก้ผมแตกปลายไปในตัวด้วย

เฮนน่าย้อมผมมีอยู่ 2 แบบ คือ เฮนน่า และเมนดี้ ซึ่งเมนดี้จะไม่ค่อยมีคุณภาพย้อมแล้วไม่ค่อยติด และอย่าไปซื้อชนิดที่เขาเรียกว่า แบล็คเฮนน่า เพราะพวกนี้จะใส่สารเคมีสำหรับย้อมผมให้ดำสนิทติดทนนานลงไป ซึ่งเป็นตัวทำให้เกิดมะเร็ง

ปริมาณของเฮนน่าขึ้นอยู่กับลักษณะและความยาวของเส้นผม โดยทั่วไปถ้าจะใช้เฮนน่าย้อมผมให้ใช้ปริมาณผงของเฮนน่าดังนี้

  • ผมสั้น ผมเส้นเล็ก ให้ใช้ 60-100 กรัม ถ้าผมเส้นใหญ่แต่สั้นก็ใช้ปริมาณมากขึ้นหน่อย
  • ผมยาวปานกลาง ให้ใช้ 100-150 กรัม
  • ผมยาวมากๆ ให้ใช้ 150-250 กรัม


จุดดี

  • ราคาถูก เฮนน่า 100 กรัม ราคาไม่ถึง 20 บาท
  • เมื่อผมยาวขึ้น จะไม่เห็นขอบเขตของสีผมแตกต่างกันอย่างชัดเจน แบบขาวเป็นแถบอยู่ใกล้หนังศีรษะเหมือนยาย้อมผมแบบเคมี
  • เฮนน่าจะเคลือบบนเส้นผม ทำให้เส้นผมมีน้ำหนักมากขึ้น ผมจะเป็นเงาสลวย
  • คนที่ผมแตกปลาย ให้ย้อมเฮนน่าทับลงไปจะทำให้อาการแตกปลายดูดีขึ้น
  • คนที่มีรังแค เฮนน่าก็เป็นสมุนไพรรักษาหนังศีรษะด้วย
จุดอ่อน
  • สีจะจางลงจากการสระผม แปรงผม จึงต้องย้อมซ้ำทุก 3-4 สัปดาห์
  • ผมจะออกเป็นสีทองๆ บ้าง โดยเฉพาะบริเวณที่หงอกขาว
  • การย้อมในครั้งแรกๆ จะยังดูด้านๆ อยู่ หลังจากหวีผมประมาณ 3 วัน ผมจะเป็นประกายเงางาม 

วิธีย้อมผมด้วยเฮนน่า

  • ใช้ผงเฮนน่าประมาณ 100 กรัม มะนาว 1/2 ลูก น้ำชาต้มเดือดแล้วประมาณ 1 ถ้วยแก้ว ผสมทั้งหมดเข้าด้วยกันในชามเซรามิก หรือชามแก้ว (ถ้าภาชนะแบบอื่นสีจะเปื้อนติดถ้วย) กะให้ได้ลักษณะเหนียวข้นคล้ายยาสีฟัน ถ้าผสมเหลวเกินไปเวลาย้อมผมจะไหลย้อยเปรอะเปื้อนเสื้อผ้า แต่ถ้าแห้งเกินไปเฮนน่าจะจับตัวเป็นก่อนและจะซึมเข้าไปในเส้นผมได้ไม่ทั่วถึง
  • ตั้งทิ้งไว้อย่างน้อย 8 ชั่วโมง เพื่อให้สีของเฮนน่าออกมาเข้มตามต้องการ เช่น ถ้าจะย้อมตอนเช้าให้ผสมทิ้งไว้ตั้งแต่ตอนกลางคืน
  • ถ้าอยากให้สีผมแปลกไปให้ใส่สมุนไพรอื่น เช่น กาแฟ กานพลู ดอกอัญชัน ฯลฯ ปนลงไปขณะเตรียมด้วย
  • เมื่อครบ 8 ชั่วโมงแล้ว ก็ให้สระผมก่อนทิ้งให้แห้งสนิทเสียก่อนจึงจะได้ผลดี
  • ใช้วาสลิน หรือ ครีมทาบริเวณตีนผมโดยรอบเพื่อไม่ให้สีของเฮนน่าติดสีผิว (ถ้าทำเฮนน่าเลอะหน้าให้รีบเอาสำลีชุบน้ำเช็ดออก)
  • แบ่งผมออกเป็นช่อๆ สวมถุงมือ แล้วเอาเฮนน่าป้ายลงบนเส้นผม โดยเริ่มจากโคนผมจนถึงปลายผม
  • เมื่อทาเฮนน่าเสร็จแล้วให้เอาหมวกพลาสติกคลุมผมเอาไว้ แล้วพันทับด้วยผ้าขนหนูทิ้งไว้นานเท่าที่ต้องการ ถ้าผมหงอกให้ทิ้งไว้นาน 5-8 ชั่วโมงสีขาวจะกลายเป็นสีน้ำตาล ถ้าต้องการให้สีเข้มขึ้นอาจทิ้งไว้ได้นาน 24 ชั่วโมงก็ยังได้ แต่ถ้าผมดำอยู่แล้วต้องการทำเป็นไฮไลท์สีผมด้วยเฮนน่าแบบประกายทองก็จะย้อมทิ้งไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง
  • สระออกด้วยน้ำธรรมดา ห้ามใช้แชมพูเด็ดขาด แล้วทิ้งให้แห้ง

สมุนไพรที่เพิ่มความสวยงาม
การใช้เฮนน่าร่วมกันสมุนไพรอื่นสามารถทำได้ แต่เฮนน่าก็ยังเป็นสีหลัก ผมที่ได้คือสีย้อมจะเปลี่ยนแปลงโทนสีไป คุณสามารถเลือกโทนสีได้หลายอย่าง เช่น

  • กาแฟ ให้โทนสีแดง ให้ใส่กาแฟ 1-2 ช้อนโต๊ะลงไปตอนเตรียมเฮนน่า
  • ดอกอัญชัน จะทำให้สีผมเข้มขึ้น ให้ใช้ดอกอัญชัน 30-50 ดอก ต้มรวมกับน้ำชาจนกลีบดอกสีจางลงแล้วคั้นเอากากออก จะได้สีน้ำเงินเข้มเอาไว้ผสมกับเฮนน่า เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบผมแดง
  • น้ำส้มไซเดอร์ เป็นน้ำส้มจากแอปเปิ้ล ให้ใช้ครั้งละ 3 ช้อนโต๊ะ ผสมลงไปตอนเตรียมเฮนน่าจะให้สีประกายทอง
  • กานพลู ใช้กานพลู 3 กรัมใส่ลงไปตอนเตรียมเฮนน่า ทำให้ผมเข้มขึ้นใกล้เคียงสีดำ
  • เหล้าคอนยัค เติมเหล้าคอนยัค 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะลงไปตอน เตรียมเฮนน่าจะได้ผมสีค่อนข้างแดง

เครดิต:
  • http://www.pumedin.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=104476

วิธีดูแลดวงตาให้สวยปิ๊ง

ประคบประหงมดวงตาก่อน-หลังทำงาน

  • ถ้าคุณจะใช้สายตาจ้องมองคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ หรือแม้กระทั่งโทรทัศน์  เป็นประจำ
  • หลังตื่นนอนใช้ผ้าสะอาดแช่ในน้ำเย็นแล้วมาประคบที่ดวงตาสัก 3 นาที เพื่อให้ดวงตาดูสดใสตลอดวัน
  • ก่อนนอนให้นำสำลีชุบน้ำอุ่น ประคบที่เปลือกตา เพื่อให้ดวงตาผ่อนคลายจากความเมื่อยล้า กระตุ้นการหมุนเวียนเลือดบริเวณเปลือกตา

ปกป้องดวงตาให้พ้นจากแสงแดด

  • อันตรายจากรังสี UV สามารถทำลายเนื้อเยื่อดวงตา สาเหตุของการเกิดต้อที่ตา ดังนั้นควรเลือกใส่แว่นกันแดดที่ป้องกันแสง UV และเป็นแว่นกรอบใหญ่จะช่วยปกป้องผิวรอบดวงตา

โยคะดวงตาให้ผ่อนคลาย

  • หลังจากที่คุณต้องใช้สายตาทำงานมากๆ ควรจะต้องพักสายตาด้วยการหันมองไปทางอื่นบ้าง ทอดสายตามองไปไกลๆ หรือจะออกมาชมนก ชมไม้ จะช่วยผ่อนคลายสายตาและจิตใจของคุณด้วย
  • วิธีโยคะดวงตาแบบง่ายๆ เริ่มจากกรอกลูกตาไปมาเป็นวงกลมเริ่มจากตาม เข็มนาฬิกาครบ 1 รอบ แล้วกรอกทวนเข็มนาฬิกา แล้วจึงนอนหงายหรือนั่งหลับตาสักพัก ทำซ้ำๆ กันวันละ 2-3 ครั้ง จะช่วยให้ดวงตามีชีวิตชีวาขึ้น

ยืดอายุดวงตาไม่ให้เกิดริ้วรอย

  • การแต่งหน้าเป็นการเร่งทำให้เกิดถุงใต้ตา และริ้วรอยรอบดวงตา
  • ควรใช้ครีมบำรุงผิวรอบดวงตาที่บางเบาไม่ก่อสารระคายเคือง
  • Makeup ควรใช้แบบบางเบา และเบามือ เพื่อไม่เกิดการดึงรั้งผิวบริเวณดวงตา

ดูแลดวงตาด้วยการกิน

  • วิธีบำรุงสุขภาพตาด้วยการทานผักที่อุดมไปด้วยวิตามิน A
  • ผักบุ้ง ลดอาการปวดตาในเวลาที่ต้องใช้สายตาเพ่งมองนานๆ และบรรเทาอาการตาแห้ง
  • แครอท บำรุงสายตา ช่วยในการมองเห็นในที่มืด
  • ฟักทอง ป้องกันเยื่อบุตาแห้ง และกระจกตาเป็นแผล
  • คะน้า มีลูทีนสูง ทานเป็นประจำลดโอกาสเสี่ยงของการเกิดโรคต้อกระจกถึง 20%
  • ตำลึง มีเบต้าแคโรทีน แก้โรคตามัวตอนกลางคืน

เครดิต:

Monday, April 14, 2014

โยคะกระชับหน้า กำจัดหางตาตก



  • กางแขนออก 45 องศา
  • เอาแขนอีกข้างดึงหางตา พร้อมเอียงศรีษะไปด้านตรงข้ามแขนที่กาง
  • แลบลิ้นยาวๆ ไปในทิศที่เอียงศรีษะ จนรู้สึกตึงคอ
  • ค้างไว้ 2 นาที แล้วสลับข้าง

เครดิต:
  • http://www.youtube.com/watch?v=Fmo3LhfMim8
  • http://topicstock.pantip.com/woman/topicstock/2011/04/Q10437657/Q10437657.html

เทคนิคการถอนขนคิ้ว

การจัดระเบียบขนคิ้วด้วยการถอนนับเป็นวิธีที่เรียกได้ว่าลงทุนต่ำที่สุด ไม่มีอะไรมากไปกว่าแหนบ แถมขนคิ้วที่ถอนไปก็ยังใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าจะงอกกลับคืนมา

รูปทรงคิ้ว

ทรงของคิ้วที่ดีต้องมีความโค้งโก่งเป็นธรรมชาติ กล่าวคือโก่งขึ้นไปตามแนวโหนกคิ้ว โดยจุดสูงสุดหรือจุกหักของความโค้งอยู่ที่เส้นขอบนอกของม่านตา เพื่อให้กำหนดรูปร่างของคิ้วที่ดี ลองใช้วิธีนี้เพื่อหาจุดหัวคิ้ว จุดสูงที่สุด และจุดปลายของคิ้ว

  • หัวคิ้ว อยู่ตรงกับหัวตาเสมอ อย่าเผลอถอนจนร่อนลึกเข้าไปเชียว
  • จุดสูงสุดของคิ้ว อยู่ที่เส้นขอบนอกของม่านตา
  • ปลายคิ้ว อยู่ที่แนวเส้นตรงที่ลากผ่าจากปีกจมูกข้างนั้นออกไปที่หางตาข้างเดียวกัน ชนที่คิ้วตรงไหน ตรงนั้นคือจุดหยุของคิ้วนั่นเอง


เคล็ดลับในการกันคิ้วด้วยการถอน

  • ถอนหลังอาบน้ำและประคบอุ่น ช่วยบรรเทาความเจ็บ
  • ถอนในขณะที่รูขุมขนกำลังขยาย เช่น หลังจากเพิ่งอาบน้ำเสร็จ หรือจะทำให้รูขุมขนคลายตัวด้วยการประคบอุ่นก็ได้ 
  • ทาครีมทาหน้าลงไปเล็กน้อยก็ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น เส้นขนหลุดง่ายขึ้น
  • ใช้แหนบดีมีชัยไปกว่าครึ่ง
  • แหนบที่ทำจากวัสดุต่างๆ มาลองใช้ ทดสอบประสิทธิภาพการจับเส้นขนว่าจับได้มั่นหรือไม่ รูปทรงจับได้ถนัด กระชับมือ
  • ไม่ควรเลือกแหนบที่ปลายบางและคม เพราะหากทิ่มผิวจะเจ็บมาก รวมทั้งปลายแหนบที่คมอาจตัดเส้นขนขาดทั้งที่ยังถอนไม่หลุดก็ได้
  • เขียนแนวคิ้วที่ต้องการ
  • ใช้ดินสอเขียนคิ้วเขียนกำหนดเส้นแนวคิ้วที่ต้องการเอาไว้ก่อน โดยให้ดูเป็นธรรมชาติ และเข้ากับดวงตาคุณมากที่สุด อย่าลืมถอยห่างออกมาดูกระจกเพื่อดูภาพรวมของใบหน้าด้วย
  • ถอนไรคิ้วอ่อนๆ รกๆ ที่มักอยู่บริเวณใต้กึ่งกลางคิ้วลงไปถึงหางคิ้วออกไปให้หมดเสียก่อน รวมทั้งไรคิ้วที่ขึ้นตรงหว่างคิ้ว
  • แปรงขนคิ้วให้ชี้ขึ้น เพื่อเห็นแนวคิ้วชัดเจน
  • ใช้หวีหรือมาสคาร่าสำหรับขนคิ้วปัดคิ้วให้ชี้ขึ้น เพื่อจะได้เห็นแนวเส้นคิ้วชัดเจน และถอนได้อย่างแม่นยำ ไม่ล้ำเข้าไปในบริเวณที่ไม่ต้องการถอน
  • อย่าลืมว่าให้ถอนแค่ส่วนที่อยู่ใต้คิ้วเท่านั้น ขนคิ้วส่วนที่อยู่เหนือคิ้วไม่ควรถอนเป็นอันขาด
  • ดึงหนังให้ตึง ช่วยให้ถอนง่าย แหนบไม่หนีบเนื้อ
  • ใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้ของมือข้างที่ไม่ได้ถือแหนบ ตรึงผิวหนังที่คิ้วฝั่งที่ต้องการถอนไว้ให้ตึง การทำเช่นนี้จะช่วยลดโอกาสที่แหนบจะหนีบเนื้อได้ รวมทั้งเมื่อผิวหนังตึง เส้นขนก็ตั้งขึ้น ทำให้ถอนหลุดออกมาได้ง่ายด้วย
  • เล็มขนคิ้วที่อยู่นอกแนวคิ้วที่ร่างไว้
  • เมื่อถอนขนคิ้วเสร็จเรียบร้อยแล้ว แปรงคิ้วในทิศชี้ขึ้นอีกครั้ง แล้วใช้กรรไกรปลายมนเล็มปลายขนคิ้วที่ชี้ออกเกินแนวขนคิ้วด้านบนที่ร่างไว้ คิ้วจะได้ดูเป็นระเบียบ
  • ปลอบประโลมผิวหลังการถอนให้ใช้ถุงชาแช่เย็นประคบที่คิ้วทั้งสองข้าง

เครดิต:

  • http://boostbeautyandhealthy.blogspot.com/2012/04/blog-post_20.html